วันศุกร์ที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2559

ข่าว คนจน 5 ล้านคนเตรียมเฮ! รอลุ้น ครม. อนุมัติแจกเงิน 3 พันบาทวันนี้




       ลุ้น ครม. อนุมัติ มาตรการแจกเงินคนจน หรือ โครงการสวัสดิการแห่งรัฐ รอบคนจน เมือง ที่ลงทะเบียนฯไว้ 5 ล้านคน แบ่งเป็น 2 หลักเกณฑ์ มีรายได้ทั้งปีไม่เกิน 3 หมื่นบาท รับ 3,000 บาท ส่วน รายที่เกิน 30,000 บาทแต่ไม่เกิน 100,000 บาทรับ 1,500 บาท เผยพร้อมจ่ายทันที่ในเดือน ธ.ค.นี้

   รายงานข่าวจากกระทรวงการคลังเปิดเผยว่า วันนี้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีจะพิจารณามาตรการช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อย ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ โดยจะมีการแจกเงินให้คนจนที่ลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ โดยครั้งนี้จะเป็นการสนับสนุนให้สวัสดิการกับคนมีรายได้น้อย ที่ไม่ใช่เกษตรกร ที่มียอดการลงทะเบียนไว้ประมาณ 5 ล้านคน

    โดยหลักเกณฑ์เบื้องต้น จะมีการแจกสวัสดิการเป็น 2 อัตรา คือ

คนที่มีรายได้ทั้งปี ไม่เกิน 30,000 บาท รัฐจะสนับสนุนเงินสวัสดิการให้ 3,000 บาท
คนที่มีรายได้ทั้งปีเกิน 30,000 แต่ไม่เกิน 100,000 บาท รัฐจะสนับสนุนเงินสวัสดิการให้ 1,500 บาท


    ทั้งนี้หาก คณะรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติ กระทรวงการคลังจะแถลงรายละเอียดของโครงการให้ทราบอีกครั้งหนึ่ง โดยเบื้องต้น คาดว่าจะสามารถโอนเงินสวัสดิการแห่งรัฐตามมาตรการนี้ได้ภายในเดือนธันวาคม2559 นี้

      สำหรับผู้มีรายได้น้อย ตามโครงการมาตรการสวัสดิการแห่งรัฐนี้ เป็นโครงการที่รัฐบาลได้เปิดให้มีการลงทะเบียนคนมีรายได้น้อยมาก่อนหน้าผ่านธนาคารรัฐคือ ธนาคารออมสิน และ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรหรือ ธ.ก.ส. โดยยอดผู้ลงทะเบียนล่าสุดอยู่ที่ประมาณ 8 ล้านคน


    โดยแบ่งเป็น คนมีรายได้น้อยที่เป็นเกษตรกร ประมาณ 3 ล้านคน ซึ่งรัฐได้ออกมาตรการสนับสนุนไปแล้วก่อนหน้านี้  และผู้ที่มีรายได้น้อยที่ไม่ใช่เกษตรอีกจำนวน 5 ล้านคน ซึ่งเป็นจำนวนที่จะได้รับประโยชน์จากมาตรการเงินสนับสนุนในครั้งนี้ โดยทั้งสองส่วนจะใช้งบประมาณรวมประมาณ 1.6 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็น โครงการสนับสนุนคนมีรายได้น้อยที่เป็นเกษตรกร 6 พันล้านบาท และ คนมีรายได้น้อยทั่วไป 1 หมื่นล้านบาท


ที่มา : http://money.sanook.com/440285/
ข่าววันที่ : 22 พ.ย. 2559 


ตัวย่อคำศัพท์เกี่ยวกับการเงิน


MLR (Minimum Loan Rate) หมายถึง อัตราดอกเบี้ยสำหรับลูกค้ารายใหญ่ชั้นดี ประเภทเงินกู้แบบมีระยะเวลา ส่วนมากจะให้สำหรับการปล่อยกู้ซื้อบ้านโดยจะมีอัตราดอกเบี้ยถูกกว่าแบบอื่นๆ

MLR+3 หมายถึง ให้หาฐานของดอกเบี้ย MLR ในขณะนั้นเสียก่อน เช่น ดอกเบี้ย MLR ขณะนั้นเท่ากับ 5% ต่อปี ดังนั้นดอกเบี้ย MLR+3(5+3) จึงเท่ากับ 8% ต่อปีนั่นเอง ซึ่งวิธีการนี้สามารถเกิดขึ้นได้ทั้งกับอัตราดอกเบี้ยแบบ MOR และ MRR แต่จะมีบวกหรือลบหรือไม่นั้นและจะมีเป็นจำนวนเท่าไหร่ขึ้นอยู่กับธนาคารจะเป็นผู้กำหนดขึ้นมาเอง

MOR (Minimum Overdraft Rate) หมายถึง อัตราดอกเบี้ยสำหรับลูกค้ารายใหญ่ชั้นดีชนิดเงินกู้เบิกเกินบัญชีขั้นต่ำ

MRR (Minimum Retail Rate) หมายถึง อัตราดอกเบี้ยสำหรับลูกค้ารายย่อยชั้นดี

CPR (Consumer Product Rate) หมายถึง อัตราดอกเบี้ยขั้นต่ำสำหรับสินเชื่อส่วนบุคคล ที่แต่ละธนาคารได้กำหนดออกมา

NPL (Non Performing Loan) หมายถึง สินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ของธนาคารพาณิชย์ พูดง่ายๆก็คือหนี้เสียนั่นเอง Credit Bureau หมายถึง ข้อมูลประวัติการชำระสินเชื่อและบัตรเครดิตของประชาชนแต่ละคน

DEP/ PC/ CD หมายถึง การฝากเงินเข้าบัญชีด้วยเงินสดโดยใช้สมุดคู่ฝาก

W/D /CS/CW หมายถึง ถอนเงินสดออกจากบัญชีโดยใช้สมุดคู่ฝาก
NBD / PCN/ C1 หมายถึง การฝากเงินสดเข้าไปในบัญชีโดยไม่ได้ใช้สมุดคู่ฝาก ส่วนใหญ่คือการฝากเงินเข้าบัญชีโดยใช้บัตรเอทีเอ็มผ่านเข้าทางเครื่องรับฝากเงินอัตโนมัติ

NBW / CSN/ C2 หมายถึง การถอนเงินออกจากบัญชีโดยไม่ได้ใช้สมุดคู่ฝาก โดยมากมักหมายความว่าการถอนเงินโดยใช้บัตรเอทีเอ็มผ่านเครื่องถอนเงินอัตโนมัติ

INT /IN /IN หมายถึง ดอกเบี้ยที่ไดรับจากการฝากเงินกับทางธนาคารแห่งนั้น

TX หมายถึง ภาษีที่ถูกหัก

CCB /CC,CL,HC /OD,QD หมายถึง การฝากเงินเข้าบัญชีของตนเองโดยการใช้เช็คเงินสดของธนาคารต่างๆ

RTD /CR /RT หมายถึง เช็คคืนหรือที่ชาวบ้านรู้จักทั่วไปในนามว่าเช็คเด้งนั่นเองอันเกิดจากยอด เงินในบัญชีไม่มีเพียงพอที่จะจ่ายตามที่ถูกระบุไว้ในเช็คนั่นเอง

COR /ER /EC หมายถึง รายการที่ได้รับการแก้ไขให้ถูกต้อง

TRD /TRD /XD หมายถึง การฝากเงินเข้าสู่บัญชีของตนเองด้วยวิธีการโอนมาจากบัญชีอื่นๆ

TRW /TRW /XW หมายถึง การถอนเงินออกจากบัญชีของตนเองด้วยวิธีการโอนออกไปสู่บัญชีอื่นๆ

- /CM /FE หมายถึง ค่าธรรมเนียมในการดำเนินงานของธนาคาร


วันจันทร์ที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

ข่าว สมคิดยันรัฐมีมาตรการดูแลผู้มีรายได้น้อย


     รองนายกฯ 'สมคิด' ยันรัฐมีมาตรการพร้อมดูแลผู้มีรายได้น้อยในเมือง รายได้ไม่เกิน 1 แสนบาทต่อปี ยังไม่ขอเปิดเผยรายละเอียด - พอใจตัวเลขเศรษฐกิจไตรมาส 3 ที่ขยายตัว 3.2%

    นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ได้สั่งการให้กระทรวงการคลัง หามาตรการเพื่อช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อย ที่มีรายได้รวมไม่เกินปีละ 100,000 บาท ในพื้นที่เขตเมืองกว่า จากยอดผู้มีรายได้น้อยที่ลงทะเบียนเพื่อรับสวัสดิการของรัฐทั้งหมด 8.3 ล้านราย เนื่องจากที่ผ่านมารัฐบาลได้มีมาตรการช่วยเหลือผ่านการเติมเงินให้กับเกษตรกรที่มีระดับรายได้ยากจนไปแล้วซึ่งต้องเร่งให้ความช่วยเหลือเพราะถือเป็นสิ่งที่รัฐบาลต้องดำเนินการและเป็นนโยบายสำคัญในการดูแลสังคม

   ขณะที่มาตรการยกเว้นภาษีเพื่อสนับสนุนการซื้อสินค้าประเภทเครื่องใช้สำอางและน้ำหอม กระทรวงการคลัง อยู่ระหว่างการพิจารณารายละเอียด โดยต้องคิดให้รอบคอบถึงผลดีและผลเสียที่จะได้รับว่าสามารถดำเนินการได้หรือไม่


   สำหรับตัวเลขไตรมาส 3 ที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ประกาศออกมาอยู่ที่ร้อยละ 3.2 นั้น ถือว่าเศรษฐกิจไทยสามารถขยายตัวได้เป็นที่น่าพอใจ แต่อาจจะชะลอลงบ้าง เนื่องจากการเปรียบเทียบรายจ่ายของปีก่อนสามารถทำได้สูง เพราะภาครัฐได้เร่งการเบิกจ่ายเพิ่มขึ้น แต่หากเปรียบเทียบกับประเทศอื่นๆ ไทยยังขยายตัวได้ดีกว่า เช่น สิงคโปร์ ขยายตัวได้เพียงร้อยละ 0.6 หรือเกาหลีใต้ ที่ขยายตัวได้เพียงร้อยละ 2 เท่านั้น

    ทั้งนี้ ยอมรับว่า ไตรมาสที่ 4 ปีนี้ บรรยากาศจับจ่ายใช้สอยปรับตัวลดลง เนื่องจากประชาชนไม่อยู่ในอารมณ์ที่จะใช้จ่าย ซึ่งเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ประกอบกับการท่องเที่ยว ที่ได้รับผลกระทบจากการปราบปรามทัวร์ศูนย์เหรียญในช่วงที่ผ่านมา จึงได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดูแลและฟื้นฟูให้ดีขึ้น โดยกระทรวงการคลัง และธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ติดตามสถานการณ์ดังกล่าวอย่างใกล้ชิด หากพบว่าเศรษฐกิจเกิดการอ่อนแรงลงก็จะมีมาตรการเข้าไปดูแลให้มีความเข้มแข็ง เพราะได้เตรียมการไว้หมดแล้ว




ที่มา http://money.sanook.com/440045/
ข่าววันที่ 21 พ.ย. 2559

วันจันทร์ที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

ข่าว เกษตรฯ จ่อชง ครม.ปล่อยสินเชื่อขยายวงเงินกู้ นาแปลงใหญ่ 10 ล้านบาท


     ก.เกษตรฯ เตรียมชงมาตรการช่วยเกษตรกรเข้า ครม. ขยายวงเงินสินเชื่อนาแปลงใหญ่ เป็น 10 ล้านบาท ผ่อน 5 ปี ดอกเบี้ย 0.01 เปอร์เซ็นต์ 
    เมื่อวันที่ 13 พ.ย. ธีรภัทร ประยูรสิทธิ ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เตรียมนำเอามาตรการช่วยเหลือเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการเกษตรแปลงใหญ่ที่มีศักยภาพ เช่น นาแปลงใหญ่ ในการลดต้นทุนการผลิต โดยจะเสนอที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ปรับเงื่อนไขการปล่อยสินเชื่อเงินกู้ให้แก่เกษตรกรผ่านการขยายวงเงินสินเชื่อเงินสูงสุดเป็น 10 ล้านบาท ระยะเวลา ผ่อนชำระคืน 5 ปี มีอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 0.01 จากเดิมเกษตรกรสามารถขอสินเชื่อสูงสุดได้ 5 ล้านบาท ระยะเวลาชำระคืน 3 ปี อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 0.01 คาดว่าจะใช้งบประมาณเพิ่มจากมาตรการเดิม 5,000 ล้านบาท รวมโครงการดังกล่าวจะใช้เงินอยู่ที่ประมาณ 10,000 ล้านบาท คาดว่าจะสามารถนำเข้าที่ประชุมได้ในเร็วๆ นี้ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณา เพื่อกำหนดมติที่ชัดเจนจากกระทรวงเกษตรฯ ก่อนเสนอ ครม. 

ส่วนกระแสข่าวที่ว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) จะเดินทางมาตรวจเยี่ยม พร้อมติดตามการดำเนินงานของกระทรวงเกษตรฯ ในสัปดาห์หน้า ขณะนี้ยังไม่ได้แจ้งอย่างเป็นทางการจากทางนายกรัฐมนตรี มีเพียงกระแสข่าวเท่านั้น โดยกระทรวงเกษตรฯ พร้อมรายงานการดำเนินงานให้นายกรัฐมนตรีได้รับทราบทุกเมื่อ


ที่มา : http://www.thairath.co.th/content/781902
ข่าววันที่ : 13 พ.ย. 2559

วันจันทร์ที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

ข่าว รัฐเพิ่มสินเชื่อชะลอขายข้าวเป็นตันละ 13,000 บาท

ครม.อนุมัติตามข้อสรุปที่ประชุมนบข.ที่ให้เพิ่มเงินสินเชื่อชะลอขายข้าวเป็นตันละ 13,000 บาท 
     
     บิ๊กตู่ขอชาวนาอย่าฟังข้อมูลบิดเบือน เมื่อวันที่ 1 พ.ย. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าว (นบข.) นัดพิเศษเช้าวันนี้มีมติกำหนดมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรชาวนาเพื่อรักษาเสถียรภาพราคาข้าว ผ่านโครงการสินเชื่อชะลอขายข้าวเปลือกนาปี เป็นตันละ 13,000 บาท เพิ่มจากการประชุม นบข.วานนี้ซึ่ง กำหนดที่ 11,525 บาท/ตัน ซึ่งประกอบด้วย ค่าข้าวเปลือก เงินช่วยเหลือค่าเก็บเกี่ยวและปรับปรุงข้าว และค่าเก็บรักษาข้าวไว้ในยุ้งฉาง สำหรับเกษตรกรที่ไม่มียุ้งฉางไม่เข้าร่วมโครงการนี้สามารถขายได้ในราคาตลาด โดยรัฐบาลจะช่วยเหลือค่าเก็บเกี่ยวข้าวปรับปรุงคุณภาพโดยธกส.โอนเงินเข้าบัญชีในอัตราตันละ 2,000 บาท

     นายกรัฐมนตรี ยืนยันว่า การดำเนินการดังกล่าวได้มีการปรึกษาฝ่ายกฎหมายแล้ว ซึ่งสามารถทำได้ เพราะไม่ได้เป็นการจำนำข้าวทุกเมล็ดและไม่ใช่การนำข้าวที่ได้จากโครงการไปเก็บในคลังของรัฐ โดยหวังว่ามาตรการนี้จะทำให้ชาวนาพอใจในระดับหนึ่งและทำให้ราคาข้าวในตลาดปรับดีขึ้น แต่อยากให้เห็นใจรัฐบาลที่มีงบประมาณจำกัดและขณะนี้ก็มีผลกระทบหลายด้าน ทั้งจากปัญหาน้ำท่วม และปริมาณความต้องการข้าวลดลง 

     "การจะทำให้ราคาข้าวเพิ่มสูงขึ้นแต่ทำผิดกฎหมายรัฐบาลไม่สามารถทำได้ ดังนั้นสิ่งสำคัญคือการต้องสร้างความเข้มแข็งให้เกษตรกร และต้องแก้ปัญหาทั้งระบบ รวมทั้งโรงสีต้องโปร่งใสสุจริต ขณะที่ชาวนาต้องมีเครื่องมือที่สามารถตรวจสอบความชื้นเป็นของตัวเอง เพื่อที่จะได้นำข้อมูลมาเปรียบเทียบกันให้ได้ราคาที่เป็นธรรม"นายกรัฐมนตรี กล่าว

     พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ต้องเข้าใจภาวะตลาดโลกว่าเป็นอย่างไร รวมถึงต้องวางแผนการเพาะปลูกอย่างเหมาะสม มีการทำเกษตรแปลงใหญ่ โดยรัฐบาลพร้อมสนับสนุนเครื่องมือและจัดหาโรงสีขนาดกลางลงไปในแต่ละพื้นที่

      นอกจากนี้ ได้สั่งให้กระทรวงเกษตรฯ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงพาณิชย์ และ คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ลงไปสำรวจโรงสีว่ามีสิ่งใดแทรกซ้อนหรือไม่ และขอให้ชาวนาอย่าหลงเชื่อข้อมูลที่บิดเบือน เพราะราคาข้าวที่ตกต่ำในขณะนี้เป็นเพียงข้าวที่เก็บเกี่ยวหนีน้ำ มีความชื้นสูง และไวต่อแสง ซึ่งจะออกผลผลิตในช่วงเดือน ต.ค.ถึง พ.ย.59 ประมาณ 2 ล้านตันเท่านั้น และขอให้ติดตามข้อมูลต่างๆจากรัฐบาล

วันจันทร์ที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2559

ข่าว ธอส.จับมือผู้ประกอบการ ทำให้คนไทยมีบ้าน จัดงาน “ธอส.มหกรรมที่อยู่อาศัย-สินเชื่อเพื่อประชาชน ประจำปี 2559”

      ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เดินหน้าพันธกิจ : ทำให้คนไทยมีบ้าน จัดงาน "ธอส.มหกรรมที่อยู่อาศัย–สินเชื่อเพื่อประชาชน ประจำปี 2559" ในพื้นที่ สุราษฎร์ธานี ระหว่างวันที่ 28-30 ตุลาคม 2559 และนครสวรรค์ ระหว่างวันที่ 26-28 พฤศจิกายน 2559 ชูสินเชื่อบ้าน 63 ปี อัตราดอกเบี้ย 5 เดือนแรก เท่ากับ MRR–6.12% ต่อปี ยกเว้นค่าธรรมเนียม 4 ฟรี (1) ฟรีค่าจดทะเบียนจำนอง (2) ฟรีค่าประเมินราคาหลักประกันทุกวงเงินกู้ (3) ฟรีค่าจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรม และ (4) ฟรีค่าธรรมเนียมการยื่นกู้ รวมถึงจำหน่ายทรัพย์ NPA คุณภาพดีทำเลเด่น พร้อมจับมือผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ในพื้นที่นำที่อยู่อาศัยระดับคุณภาพมาจำหน่ายในราคาโดนใจ พร้อมตรวจสอบข้อมูลเครดิตฟรี!!

      นายฉัตรชัย ศิริไล กรรมการผู้จัดการธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เปิดเผยว่า เพื่อเป็นการเพิ่มโอกาสให้ประชาชนได้เข้าถึงผลิตภัณฑ์สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยอัตราดอกเบี้ยพิเศษ ส่งเสริมให้คนไทยมีบ้านได้มากยิ่งขึ้น ธอส.ในฐานะสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ จึงได้ร่วมกับผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ในพื้นที่ จัดงาน "ธอส.มหกรรมที่อยู่อาศัย – สินเชื่อเพื่อประชาชน ประจำปี 2559" นับเป็นมหกรรมที่อยู่อาศัยครบวงจรแห่งปีที่สามารถตอบโจทย์ความต้องการของผู้ที่กำลังหาซื้อที่อยู่อาศัยเป็นของตนเอง นำโดยผลิตภัณฑ์สินเชื่อที่ได้การตอบรับจากลูกค้ามากที่สุดในเวลานี้ "โครงการสินเชื่อบ้าน 63 ปี ธอส." อัตราดอกเบี้ยพิเศษ 5 เดือนแรก เท่ากับ MRR–6.12% ต่อปี (หรือเท่ากับ 0.63% ต่อปี คิดจากดอกเบี้ย MRR ธอส. ปัจจุบันเท่ากับ 6.75% ต่อปี) เดือนที่ 6 – 36 ดอกเบี้ยเท่ากับ MRR–3.12% ต่อปี (หรือเท่ากับ 3.63% ต่อปี) ปีที่ 4 จนถึงตลอดอายุสัญญากู้ กรณีลูกค้าสวัสดิการดอกเบี้ยเท่ากับ MRR-1.00% ต่อปี กรณีลูกค้ารายย่อยทั่วไป ดอกเบี้ยเท่ากับ MRR-0.50% ต่อปี กรณีซื้ออุปกรณ์และสิ่งอำนวยความสะดวกที่เกี่ยวเนื่องกับที่อยู่อาศัย ดอกเบี้ยเท่ากับ MRR โดยให้กู้เพื่อซื้อ ปลูกสร้าง ต่อเติม ซ่อมแซม ไถ่ถอนจำนองจากสถาบันการเงินอื่น และซื้ออุปกรณ์ที่เกี่ยวเนื่องเพื่อประโยชน์ในการอยู่อาศัยพร้อมกับกู้เพื่อซื้อ หรือไถ่ถอนจำนอง พิเศษ!!! ยกเว้นค่าธรรมเนียม 4 ฟรี ได้แก่ 1.ฟรีค่าจดทะเบียนจำนอง 1% ของวงเงินกู้ตามสัญญากู้เงิน(เฉพาะลูกค้าที่ทำนิติกรรมจดทะเบียนการโอนและจดทะเบียนการจำนอง ณ สำนักงานที่ดินภายใน 7 วันทำการ นับถัดจากวันที่ธนาคารอนุมัติเงินกู้) 2.ฟรีค่าประเมินราคาหลักประกันทุกวงเงินกู้ (1,900 / 2,800 /3,100 บาท ตามวงเงินกู้) 3.ฟรีค่าจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรม (1,000 บาท) และ 4.ฟรีค่าธรรมเนียมการยื่นกู้ (0.1% ของวงเงินกู้ที่ได้รับอนุมัติ) เฉพาะลูกค้าที่จองสิทธิ์ภายในงาน ทั้งนี้ ผู้ที่จองสิทธิ์โครงการสินเชื่อบ้าน 63 ปี ธอส.ภายในงานที่ จ.สุราษฎร์ธานี ต้องยื่นคำขอกู้และทำนิติกรรมภายในวันที่ 30 พฤศจิกายน 2559 ส่วนลูกค้าที่จองสิทธิ์สินเชื่อภายในงานที่ จ.นครสวรรค์ ต้องยื่นคำขอกู้และทำนิติกรรมภายในวันที่ 30 ธันวาคม 2559

      นอกจากนี้ธนาคารได้คัด ทรัพย์ NPA หรือ บ้านมือสอง คุณภาพดี ทำเลเด่น มาจำหน่ายในราคาโดนใจส่ง ท้ายปี เพื่อเพิ่มทางเลือกให้กับผู้ที่กำลังมองหาที่อยู่อาศัย เสนอแคมเปญ "เงินดาวน์ผ่อนได้" กรณีผ่อนชำระเงินดาวน์ 10% ของราคาซื้อขาย ดอกเบี้ย 0% นานถึง 12 เดือน หรือหากเทเงินดาวน์ 10% ของราคาซื้อขาย ส่วนที่เหลืออีก 90% รับสินเชื่อดอกเบี้ย 0% นาน 12 เดือน วงเงินให้กู้สูงสุดไม่เกิน 90 % หรือกรณีผ่อนชำระเงินดาวน์ 20% ของราคาซื้อขาย ดอกเบี้ย 0% นานถึง 24 เดือน หากเทเงินดาวน์ 20% ของราคาซื้อขาย ส่วนที่เหลืออีก 80% รับสินเชื่อดอกเบี้ย 0% นาน 24 เดือน วงเงินให้กู้สูงสุดไม่เกิน 80 % ผ่อนนานสูงสุดถึง 30 ปี

      ภายในงานยังได้พบกับโครงการที่อยู่อาศัยระดับคุณภาพของบรรดาผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ที่นำที่อยู่อาศัยหลากหลายประเภทและระดับราคามาเปิดจำหน่ายพร้อมด้วยโปรโมชั่นสุดพิเศษเฉพาะในงานเท่านั้น และยังมีบริการตรวจข้อมูลเครดิตส่วนตัวฟรี!! ได้ที่บูธของ บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด (เครดิตบูโร) เพียงใช้บัตรประชาชนใบเดียว รวมถึงสอบถามข้อมูลด้านอสังหาริมทรัพย์ได้ที่บูธของศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธอส. ได้อีกด้วย

      นอกจากนี้ยังมีบูธ โครงการ ธอส. โรงเรียนการเงิน ซึ่งจะได้พบกับเจ้าหน้าที่ของ ธอส. ที่จะมาช่วยให้คำแนะนำ และส่งเสริมความรู้ในการเข้าถึงสินเชื่อในระบบ หรือ Financial Literacy อาทิ กรณีผู้ที่ประกอบอาชีพประจำ/อาชีพอิสระ ซึ่งไม่สามารถแสดงหลักฐานแหล่งที่มาของรายได้ เจ้าหน้าที่จะแนะนำให้จัดทำสมุดบัญชีรับ - จ่ายรายวัน ตามแบบฟอร์มที่ธนาคารกำหนดไม่น้อยกว่า 9 เดือน พร้อมกับเปิดบัญชีเงินฝาก และฝากเงินอย่างสม่ำเสมอ เพื่อนำมาแสดงเป็นหลักฐานแสดงที่มาของรายได้ แนะนำการจัดเก็บหลักฐาน อาทิ ใบเสร็จรับเงิน สัญญาเช่าแผงค้าขาย เป็นต้น เมื่อปฏิบัติตามคำแนะนำของเจ้าหน้าที่และเงื่อนไขที่ธนาคารกำหนด จะช่วยให้มีโอกาสยื่นคำขอพิจารณาสินเชื่อกับธนาคารได้ในอนาคต

     ทั้งนี้งาน"ธอส.มหกรรมที่อยู่อาศัย – สินเชื่อเพื่อประชาชน ประจำปี 2559" จะจัดขึ้นในพื้นที่ จังหวัดสุราษฎร์ธานี ระหว่างวันที่ 28-30 ตุลาคม 2559 ณ ศูนย์การค้าเซ็นทรัลพลาซา สุราษฎร์ธานี และในพื้นที่จังหวัดนครสวรรค์ ระหว่างวันที่ 26-28 พฤศจิกายน 2559 ณ ศูนย์การค้าวี-สแควร์ พลาซ่า สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ศูนย์ลูกค้าสัมพันธ์ (Call Center) โทร 0-2645-9000 หรือ www.ghbank.co.th และ Facebook fanpage ธนาคารอาคารสงเคราะห์





ที่มา : http://www.ryt9.com/s/prg/2538471
ข่าววันที่ 28 ตุลาคม 2559

วันจันทร์ที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2559

ข่าว ธนาคารออมสินช่วยภัยน้ำท่วมให้กู้ 5 หมื่น ปลอดดอกเบี้ย 1 ปี พร้อมพักชำระหนี้ลูกค้าสินเชื่อทุกประเภท


     นายชาติชาย พยุหนาวีชัย ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน ได้เปิดเผยว่า จากการที่ได้เกิดเหตุอุทกภัยในพื้นที่ต่างๆ ซึ่งได้สร้างความเสียหายและส่งผลกระทบต่อลูกค้าของธนาคารและประชาชนทั่วไปนั้น

ธนาคารออมสินได้มีมาตรการในการบรรเทาความเดือดร้อนลูกค้าของธนาคารออมสิน โดยได้ดำเนินการสำรวจความเสียหายของลูกค้าและออกเยี่ยมเยียนประชาชนและลูกค้าในพื้นที่ประสบภัย และนำถุงยังชีพออกแจกจ่าย พร้อมกันนี้ธนาคารๆ ได้ออกมาตรการด้านสินเชื่อ ภายใต้เงื่อนไขผ่อนปรนเพื่อช่วยเหลือเพิ่มเติมสำหรับลูกค้าและประชาชนทั่วไป คือ “สินเชื่อประชารัฐเพื่อประชาชน”

สำหรับเงื่อนไขดังกล่าวจะให้สิทธิ์ในวงเงินครอบครัวละไม่เกิน 50,000 บาท ระยะเวลาผ่อนชำระไม่เกิน 5 ปี ไม่คิดดอกเบี้ยเป็นเวลา 1 ปี (ดอกเบี้ย 0% ในปีแรก) หลังจากนั้นในช่วงปีที่ 2-5 คิดอัตราดอกเบี้ยตามอัตราปกติ คือ 1% ต่อเดือน โดยลูกค้าสามารถติดต่อได้ที่สาขาธนาคารออมสินทุกสาขาทั่วประเทศ

     นอกจากนี้แล้ว ธนาคารยังได้บรรเทาภาระลูกค้าสินเชื่อทุกประเภทที่ได้รับผลกระทบจากภัยน้ำท่วมในครั้งนี้ด้วย โดยลูกค้าสามารถเลือกเงื่อนไขต่างๆได้เช่น
– พักชำระหนี้เงินต้นไม่เกิน 2 – 3 ปี
– ชำระเงินต้นบางส่วนไม่เกิน 2 ปี
– ระหว่างพักชำระเงินต้น ให้ชำระเงินงวดไม่น้อยกว่าดอกเบี้ยปกติ 100% ชำระดอกเบี้ยปกติไม่น้อยกว่า 50%
– ขยายระยะเวลาเท่ากับระยะเวลาพักชำระเงินต้น หรือไม่เกิน 2 เท่า ของระยะเวลาคงเหลือตามสัญญากู้หรือสัญญาปรับปรุงโครงสร้างหนี้ แต่ต้องไม่เกิน 20 ปี

โดยลูกค้าในทุกเงื่อนไขต้องได้รับการอนุมัติและจัดทำนิติกรรมสัญญาให้แล้วเสร็จภายในเดือนธันวาคม 2559 นี้

วันจันทร์ที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2559

ข่าว ครม.อนุมัติปล่อยกู้สินเชื่อประชารัฐดอกเบี้ย 0% ช่วยคนรายได้น้อย


    
    สำหรับมาตรการแรก คือ มาตรการสินเชื่อประชารัฐเพื่อประชาชน โดยกลุ่มที่ได้รับการช่วยเหลือคือ ผู้ประกอบการอิสระรายย่อย พ่อค้า แม่ค้า ผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์รับจ้าง กลุ่มแม่บ้าน ผู้รับจ้างทั่วไป ที่มีอายุ 20 ปีขึ้นไป และผู้กู้ เมื่อกู้และชำระแล้วต้องมีอายุไม่เกิน 65 ปี โดยสินเชื่อที่จะได้รับนั้น วงเงินไม่เกิน 50,000 บาทต่อราย หรือตามความจำเป็น และรวมวงเงินเดิมแล้วต้องไม่เกิน 200,000 บาทต่อราย และเวลากู้ยืม 5 ปี อัตราดอกเบี้ยปีแรก 0% ปีที่ 2-5 ดอกเบี้ย 1% ต่อเดือน สามารถยื่นได้ถึงสิ้นปีนี้

ส่วนมาตรการที่ 2 คือ มาตรการเพื่อแก้ไขปัญหาหนี้สินของประชาชน ที่มีการกู้ยืมกับธนาคารออมสิน โดยจะพักชำระเงินต้นเป็นเวลาสูงสุด 3 ปี แต่ต้องจ่ายดอกเบี้ยตามปกติ ขณะเดียวกันเมื่อพักชำระเงินต้นในส่วนของการขยายเวลาการชำระหนี้นั้นจะได้เท่ากับการชำระหนี้เงินต้นเท่านั้น สำหรับมาตรการสุดท้าย มาตรการให้ความรู้ การพัฒนาอาชีพ สร้างความรู้ทางการเงินแก่ผู้ประกอบการที่มีรายได้น้อย


ที่มา : http://news.mthai.com/hot-news/economy-news/510831.html

วันจันทร์ที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2559

บทความ เปิดเงื่อนไข สินเชื่อประชารัฐเพื่อประชาชน ใครกู้เงินได้บ้าง?


    โครงการสินเชื่อประชารัฐเพื่อประชาชน ธนาคารออมสิน ใครจะสามารถยื่นขอกู้เงินได้บ้าง เสียดอกเบี้ยเท่าไร มาทำความเข้าใจกัน

          คนประกอบอาชีพอิสระคงได้เฮกับข่าวที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 2 สิงหาคม 2559 ไฟเขียวมาตรการ "สินเชื่อประชารัฐเพื่อประชาชน" เพื่อให้ผู้ประกอบอาชีพอิสระรายย่อยสามารถขอสินเชื่อมาเป็นเงินทุนหมุนเวียนได้ โดยปีแรกไม่คิดดอกเบี้ย และให้เวลาชำระเงินกู้ 5 ปี วันนี้กระปุกดอทคอม จะพาไปดูรายละเอียดของโครงการสินเชื่อประชารัฐเพื่อประชาชน แบบชัด ๆ กันอีกครั้ง

สินเชื่อประชารัฐ ให้ใครกู้เงินได้บ้าง ?

          สำหรับผู้ที่จะขอสินเชื่อประชารัฐได้นั้น จะต้องมีคุณสมบัติดังนี้

          - เป็นผู้ประกอบอาชีพอิสระรายย่อย เช่น พ่อค้า แม่ค้า ผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์รับจ้าง ผู้ให้บริการรถรับจ้างสาธารณะ กลุ่มแม่บ้านที่รวมตัวกันเป็นวิสาหกิจชุมชน หรือผู้รับจ้างให้บริการทั่วไป

          - มีอายุครบ 20 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป และเมื่อรวมอายุผู้กู้ กับระยะเวลาที่ชำระเงินกู้ต้องไม่เกิน 65 ปี

          - เป็นผู้มีถิ่นที่อยู่แน่นอน สามารถติดต่อได้


   กู้เงินสินเชื่อประชารัฐเพื่อประชาชนไปเพื่ออะไร ?

          รัฐบาลออกมาตรการนี้เพื่อให้เป็นเงินทุนหรือทุนหมุนเวียนในการประกอบอาชีพ แก้ปัญหาและบรรเทาความเดือดร้อนในการดำรงชีพ และชำระหนี้สินอื่น ๆ รวมทั้งหนี้นอกระบบ

โครงการสินเชื่อประชารัฐ กำหนดวงเงินกู้ไว้เท่าไร ?

          ไม่เกินรายละ 50,000 บาท ทั้งนี้ เมื่อรวมจำนวนเงินกู้คงเหลือตามสัญญาเดิมของสินเชื่อโครงการธนาคารประชาชนทุกประเภท กับจำนวนเงินที่ขอกู้ในครั้งนี้ ต้องไม่เกิน 200,000 ต่อราย

สินเชื่อประชารัฐ มีระยะเวลาชำระคืนเงินกู้นานแค่ไหน ?

          ชำระเงินคืนภายใน 5 ปี (60 งวด)

โครงการสินเชื่อประชารัฐ คิดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้เท่าไร ?

          - ปีที่ 1 ร้อยละ 0.00 ต่อเดือน
          - ปีที่ 2-5 ร้อยละ 1.00 ต่อเดือน

          กรณีที่ผิดนัดชำระหนี้ธนาคารจะคิดดอกเบี้ย และดอกเบี้ยปรับในอัตราที่ธนาคารกำหนด

ยื่นขอสินเชื่อประชารัฐเพื่อประชาชนได้ที่ไหน ถึงวันที่เท่าไร ?

          สามารถขอสินเชื่อประชารัฐได้ที่ธนาคารออมสิน ตั้งแต่วันนี้-30 ธันวาคม 2559

ขอสินเชื่อประชารัฐต้องใช้หลักประกันอะไรบ้าง ?

          ต้องมีบุคคลค้ำประกันและหลักประกันอื่น ๆ คือ

          บุคคลค้ำประกัน 

          ผู้ค้ำประกันต้องมีคุณสมบัติ ดังนี้
          - มีอายุครบ 20 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป และเมื่อรวมอายุผู้ค้ำประกันกับระยะเวลาที่ชำระเงินกู้ต้องไม่เกิน 65 ปี
          - เป็นผู้มีอาชีพและรายได้แน่นอน
          - เป็นผู้มีถิ่นที่อยู่แน่นอน สามารถติดต่อได้
          - ค้ำประกันผู้กู้ได้ ไม่เกิน  2 คน

          หลักประกันประเภทอื่น 

          สามารถใช้หลักประกันที่เป็นของผู้กู้ หรือของบุคคลอื่นที่ยินยอมให้ใช้ค้ำประกันได้ ดังนี้

          - สมุดฝากเงินออมสินและ หรือสลากออมสินพิเศษ ให้กู้ได้ไม่เกินร้อยละ 95 ของจำนวนเงินฝากคงเหลือในสมุดฝากเงินออมสิน หรือให้กู้ได้ไม่เกิน ร้อยละ 95 ของมูลค่าสลากออมสินพิเศษ

          - อสังหาริมทรัพย์ที่ซึ่งตั้งอยู่ในแหล่งชุมชนที่มีความเจริญ มีไฟฟ้า สาธารณูปโภคอื่น ๆ ตามความจำเป็น และมีทางสาธารณประโยชน์ซึ่งสามารถเข้า-ออกได้สะดวก โดยให้กู้ได้ ดังนี้

              ● ไม่เกินร้อยละ 80 ของราคาประเมินที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้าง
              ● ไม่เกินร้อยละ 70 ของราคาประเมินที่ดินว่างเปล่าหรือห้องชุด
              ● ไม่เกินร้อยละ 60 ของราคาประเมินที่ดินที่เป็นที่สวน ที่ไร่ ที่นา

          บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) โครงการค้ำประกันสินเชื่อเพื่อผู้ประกอบการ Micro Entrepreneurs ค้ำประกันโดยธนาคารเป็นผู้จ่ายค่าธรรมเนียมค้ำประกันในอัตราร้อยละ 2 ต่อปี ของภาระค้ำประกันให้แก่ผู้กู้ ตั้งแต่ปีที่ 2 เป็นต้นไป ตลอดอายุสัญญา

          ทั้งนี้ ธนาคารออมสินคิดค่าธรรมเนียมการให้บริการสินเชื่อคิดในอัตราร้อยละ 1 ของวงเงินสินเชื่อที่ขอกู้ธนาคาร




ที่มา http://money.kapook.com/view154241.html 
        ธนาคารออมสิน, กรมประชาสัมพันธ์, กระทรวงการคลัง 

วันจันทร์ที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2559

ข่าว สมคิด ดันมาตรการสินเชื่อประชารัฐ ปล่อยกู้อาชีพรับจ้าง ฯดอกเบี้ย 1 %


   รองนายกเศรษฐกิจ เตรียมดันมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากรากหญ้าอีกรอบ ดันเงินกู้ประชารัฐปล่อยกู้ไม่กิน 2 แสนต่อราย 5 ปี ปลอดดอกปีแรก ปีถัดไปคิด 1 % พร้อมพักชำระหนี้ให้ลูกค้ารายย่อยชั้นดี 3 ปี เสนอ ครม.สัปดาห์หน้า

นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า เตรียมเสนอมาตรการสินเชื่อประชารัฐเพื่อประชาชนให้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาในสัปดาห์หน้า โดยประกอบไปด้วย

1. มาตรการเงินกู้เพื่อใช้จ่ายในชีวิตประจำวันและประกอบอาชีพรับจ้าง อาชีพอิสระ เช่น วินรถจักรยานยนต์รับจ้าง คนขับรถแท็กซี่ กลุ่มแม่บ้านที่รวมตัวทำวิสาหกิจชุมชน ผ่านธนาคารออมสิน  ระยะเวลาไม่เกิน 5 ปี สูงสุด 200,000 บาทต่อราย ซึ่งจะไม่คิดดอกเบี้ยในปีแรก และคิดดอกเบี้ย 1% ในปีถัดไป

2. มาตรการพักชำระหนี้ให้ลูกค้าธนาคาร 2 กลุ่ม โดยกลุ่มแรกเป็นลูกค้ารายย่อยชั้นดีที่จะได้รับการพักชำระเงินต้น 3 ปี ส่วนกลุ่มที่สองเป็นกลุ่มลูกค้าที่ยังมีสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) เหลืออยู่ ซึ่งจะได้รับการพักชำระดอกเบี้ยครึ่งหนึ่งเป็นเวลา 3 ปี ส่วนเงินต้นยังจ่ายตามเดิม

นอกจากนี้ รัฐบาลเตรียมดำเนินการในอีกหลายเรื่องเพื่อสร้างความเข้มแข็งให้กับผู้มีรายได้น้อย และเศรษฐกิจฐานราก เช่น การยกระดับความสามารถให้เป็นเกษตรกรรุ่นใหม่ที่สามารถทำการตลาดได้ด้วย, โครงการพักหนี้ให้กับลูกค้าธนาคารออมสินที่มีปัญหาเรื่องภาระในการชำระหนี้, โครงการฝึกอาชีพให้กับผู้มีรายได้น้อย, การแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบ


ข่าววันที่ 29 ก.ค 59
ที่มา http://money.sanook.com/404357/

วันอาทิตย์ที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2559

บทความ มาตรการให้ความช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยในชุมชนเมืองตามแนวทางประชารัฐ

 
   นายกฤษฎา จีนะวิจารณะ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า จากการที่รัฐบาลได้มีนโยบายในการสนับสนุนให้ประชาชนผู้มีรายได้น้อยได้มีโอกาสในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนในระบบเพื่อการประกอบอาชีพ อีกทั้งยังมีนโยบายส่งเสริมการให้ความรู้ทางการเงิน (Financial Literacy) แก่ประชาชนระดับฐานรากให้มีความรู้ทางการเงิน สามารถพึ่งพาตนเองได้ และลดการพึ่งพาแหล่งเงินกู้นอกระบบ กระทรวงการคลังโดยธนาคารออมสินจึงได้เสนอมาตรการให้ความช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยในชุมชนเมืองตามแนวทางประชารัฐ และคณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบมาตรการดังกล่าว เมื่อวันที่ 2 สิงหาคม  2559 โดยประกอบด้วย 3 โครงการ สรุปได้ ดังนี้ 

1) มาตรการสินเชื่อประชารัฐเพื่อประชาชน โดยให้สินเชื่อผู้ประกอบอาชีพอิสระรายย่อยทั่วไป เช่น พ่อค้า แม่ค้า ผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์รับจ้าง ผู้ให้บริการรถรับจ้างสาธารณะ กลุ่มแม่บ้านที่รวมตัวกันเป็นกลุ่มวิสาหกิจชุมชน หรือผู้รับจ้างให้บริการทั่วไป เป็นต้น รายละไม่เกิน 50,000 บาท เพื่อเป็นเงินทุน เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการประกอบอาชีพ  แก้ปัญหาและบรรเทาความเดือดร้อนในการดำรงชีพ และชำระหนี้สินอื่น ๆ รวมทั้งหนี้นอกระบบ ระยะเวลาชำระคืนเงินกู้ 5 ปี อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ในปีที่ 1 ร้อยละ 0 ต่อเดือน และในปีที่ 2 - 5 ร้อยละ 1 ต่อเดือน โดยเงื่อนไขนี้จะสิ้นสุดในวันที่ 31 ธันวาคม 2559

2) มาตรการประชารัฐเพื่อแก้ไขปัญหาหนี้สินประชาชนภายใต้นโยบายรัฐบาล เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนแก่ลูกค้าของธนาคารออมสินที่ใช้บริการสินเชื่อและอยู่ในระหว่างการผ่อนชำระคืนที่มีความประสงค์จะขอพักชำระหนี้ชั่วคราวหรือขอขยายระยะเวลาชำระหนี้เพื่อลดภาระรายจ่าย โดยพักชำระเงินต้นและชำระเฉพาะดอกเบี้ยได้นานสูงสุดเป็นระยะเวลา 3 ปี ขยายระยะเวลาชำระหนี้เพิ่มได้เท่ากับระยะเวลาพักชำระเงินต้น
หรือขยายเวลาการชำระหนี้ได้ 2 เท่าของระยะเวลาคงเหลือตามสัญญาเงินกู้ สูงสุดไม่เกิน 20 ปี ตามเงื่อนไขของสินเชื่อแต่ละประเภท ทั้งนี้ สามารถติดต่อขอเข้าร่วมมาตรการภายในวันที่ 31 สิงหาคม 2559

3) โครงการอบรมเชิงปฏิบัติการเพื่อพัฒนาอาชีพและสร้างความรู้ทางการเงินแก่ผู้ประกอบอาชีพรายย่อยในชุมชนเมือง โดยจัดอบรมหลักสูตรการให้ความรู้ทางการเงินแก่บุคคลในครอบครัวของประชาชนฐานราก และการพัฒนาและส่งเสริมอาชีพให้แก่ผู้ประกอบการรายย่อย ผู้ประกอบอาชีพอิสระ หรือผู้ที่สนใจเข้ารับการอบรม จำนวน 150,000 ครอบครัว ครอบครัวละ 1 คน กระจายตามพื้นที่ทุกจังหวัดทั่วประเทศ โดยจะมีการจัดอบรมในช่วงเดือนสิงหาคมถึงเดือนธันวาคม 2559

   นายกฤษฎาฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า “มาตรการให้ความช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยในชุมชนเมืองตามแนวทางประชารัฐจะช่วยให้ประชาชนผู้มีรายได้น้อยสามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนในระบบเพื่อการประกอบอาชีพ บรรเทาความเดือดร้อนภายในครอบครัว ลดปัญหาเงินกู้นอกระบบ ช่วยยกระดับชีวิตความเป็นอยู่ให้อยู่ดีขึ้น นอกจากนี้ ยังช่วยให้ประชาชนในระดับฐานรากได้รับความรู้ทางการเงิน เห็นความสำคัญของการวางแผนทางการเงิน
ของครอบครัว สามารถบริหารรายได้รายจ่ายได้อย่างมีประสิทธิภาพ มีเงินออมเป็นหลักประกันทางการเงินของครอบครัว ลดการพึ่งพาแหล่งเงินกู้นอกระบบและลดปัญหาความเหลื่อมล้ำทางสังคม”

สำนักนโยบายระบบการเงินและสถาบันการเงิน  สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง
โทร. 0 2273 9020 ต่อ 3207 
โทรสาร 0 2618 3374



ที่มา : กระทรวงการคลัง

วันอาทิตย์ที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2559

ข่าว ครม.ให้ออมสินปล่อยกู้ผู้มีรายได้น้อยไม่เกินรายละ5หมื่น


ครม.อนุมัติให้ธนาคารออมสินปล่อยกู้ผู้มีรายได้น้อยไม่เกินรายละ 50,000บาท ผ่อน 5 ปี ไม่คิดดอกเบี้ยปีแรก วงเงิน 2 หมื่นล้านบาท

   นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติอนุมัติมาตรการช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยในชุมชนเมืองตามแนวทางประชารัฐ ใช้งบประมาณรวม 2 หมื่นล้านบาท เป้าหมายเป็นการช่วยเหลือประชาชนผู้มีรายได้น้อยที่อยู่ในชุมชนเมือง ซึ่งปัจจุบันมีจำนวนถึง 9 ล้านคน โดยจะเป็นการดำเนินการผ่านธนาคารออมสินใน 3 มาตรการ ประกอบด้วย 1.มาตรการสินเชื่อประชารัฐเพื่อประชาชน 
2.มาตรการประชารัฐเพื่อแก้ไขปัญหาหนี้สินประชาชน
3.โครงการอบรมเชิงปฏิบัติการเพื่อพัฒนาอาชีพและสร้างความรู้ทางการเงินแก่ผู้ประกอบอาชีพรายย่อยในชุมชนเมือง

มาตรการแรก คือ มาตรการสินเชื่อประชารัฐเพื่อประชาชนนั้น ครม.มีมติให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ประกอบการอิสระรายย่อย เช่น พ่อค้า แม่ค้า วินจักรยานยนต์รับจ้าง แม่บ้าน ผู้รับจ้างที่ให้บริการทั่วไป โดยผู้เข้าร่วมโครงการต้องมีอายุตั้งแต่20 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป แต่ไม่เกิน 65 ปี สามารถมาขอกู้เงินจากธนาคารออมสินได้รายละไม่เกิน 50,000 บาท แต่เมื่อรวมกับของเดิมที่เคยกู้ไว้กับโครงการธนาคารประชาชนจะต้องไม่เกินรายละ 2 แสนบาท

ทั้งนี้ ระยะเวลาการผ่อนชำระคืนภายใน 5 ปี ไม่คิดดอกเบี้ยปีแรก ส่วนปีที่ 2-5 คิดดอกเบี้ย 1% ต่อเดือน โดยสามารถใช้การค้ำประกันด้วยบุคคล, หลักทรัพย์ หรือบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) เป็นผู้ค้ำประกัน ซึ่งผู้ที่สนใจสามารถยื่นเรื่องมาที่ธนาคารออมสินได้ภายในสิ้นปี 59

มาตรการที่ 2 มาตรการประชารัฐเพื่อแก้ไขปัญหาหนี้สินประชาชนภายใต้นโยบายรัฐบาล โดยธนาคารออมสินจะพักการชำระเงินต้นและชำระดอกเบี้ยได้นานสูงสุดเป็นระยะเวลา 3 ปี และขยายระยะเวลาชำระหนี้เพิ่มได้เท่ากับระยะเวลาพักชำระเงินต้น หรือขยายเวลาการชำระหนี้ได้ 2 เท่าของระยะเวลาคงเหลือตามสัญญาเงินกู้ แต่ไม่เกิน 20 ปี โดยผู้สนใจสามารถติดต่อเข้าร่วมรับความช่วยเหลือตามมาตรการนี้ได้ภายใน 31 ส.ค.59

มาตรการที่ 3 โครงการอบรมเชิงปฏิบัติการเพื่อพัฒนาอาชีพและสร้างความรู้ทางการเงินแก่ผู้ประกอบอาชีพรายย่อยในชุมชนเมือง โดยมีกลุ่มเป้าหมายคือ ผู้ประกอบการรายย่อย ผู้ประกอบอาชีพอิสระ จำนวน 1.5 แสนครอบครอบ ครอบครัวละ 1 คน กระจายตามพื้นที่ทุกจังหวัด ระยะเวลาดำเนินการตั้งแต่ ส.ค.-ธ.ค.59 ใช้งบประมาณรวม 163 ล้านบาท


ที่มา http://m.posttoday.com/economy/finance/446305
วันที่ 2 สิงหาคม 2559

บทความ รายละเอียดของการกู้สินเชื่อตามนโยบายรัฐจากธนาคารออมสิน


รายละเอียดการกู้สินเชื่อตามนโยบายรัฐ

1. สินเชื่อประชารัฐเพื่อประชาชน
  • คุณสมบัติผู้กู้
1. เป็นผู้ประกอบอาชีพอิสระรายย่อย เช่น พ่อค้า แม่ค้า ผู้ขับวินมอเตอร์ไซต์ ผู้ให้บริการรถรับจ้าง  สาธารณะ และกลุ่มแม่บ้านที่รวมตัวกันเป็นกลุ่มวิสาหกิจชุมชน และผู้รับจ้างให้บริการทั่วไป
 2. มีอายุครบ 20 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป และเมื่อรวมอายุผู้กู้ กับระยะเวลาที่ชำระเงินกู้ต้องไม่เกิน 65 ปี
 3. เป็นผู้มีถิ่นที่อยู่แน่นอน สามารถติดต่อได้

  • จำนวนเงินให้กู้
 ไม่เกินรายละ 50,000 บาท ทั้งนี้ เมื่อรวมจำนวนเงินกู้คงเหลือตามสัญญาเดิมของสินเชื่อโครงการ  ธนาคารประชาชนทุกประเภท กับจำนวนเงินที่ขอกู้ในครั้งนี้ ต้องไม่เกิน 200,000 ต่อราย 

  • ระยะเวลาชำระคืนเงินกู้

 5 ปี (60งวด)

  • อัตราดอกเบี้ยเงินกู้
 ปีที่ 1 ร้อยละ 0.00 ต่อเดือน
 ปีที่ 2-5 ร้อยละ 1.00 ต่อเดือน
 กรณีที่ผิดนัดชำระหนี้ธนาคารจะคิดดอกเบี้ย และดอกเบี้ยปรับในอัตราที่ธนาคารกำหนด 

  • ตารางเงินงวด




  • หลักการประกันการเงินกู้
บุคคลค้ำประกัน ผู้ค้ำประกันต้องมีคุณสมบัติ ดังนี้
- มีอายุครบ 20 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป และเมื่อรวมอายุผู้ค้ำประกันกับระยะเวลาที่ชำระเงินกู้ต้องไม่เกิน 65 ปี
- เป็นผู้มีอาชีพและรายได้แน่นอน
- เป็นผู้มีถิ่นที่อยู่แน่นอน สามารถติดต่อได้
- ค้ำประกันผู้กู้ได้ ไม่เกิน  2 คน

หลักประกันประเภทอื่น สามารถใช้หลักประกันที่เป็นของผู้กู้ หรือของบุคคลอื่นที่ยินยอมให้ใช้ค้ำประกันได้ ดังนี้
1. สมุดฝากเงินออมสินและ หรือสลากออมสินพิเศษ ให้กู้ได้ไม่เกินร้อยละ 95 ของจำนวนเงินฝากคงเหลือในสมุดฝากเงินออมสิน หรือให้กู้ได้ไม่เกิน ร้อยละ 95 ของมูลค่าสลากออมสินพิเศษ
2. อสังหาริมทรัพย์ที่ซึ่งตั้งอยู่ในแหล่งชุมชนที่มีความเจริญ มีไฟฟ้า สาธารณูปโภคอื่นๆตามความจำเป็น และมีทางสาธารณประโยชน์ซึ่งสามารถ เข้า-ออกได้สะดวก โดยให้กู้ได้ ดังนี้
- ไม่เกินร้อยละ 80 ของราคาประเมินที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้าง
- ไม่เกินร้อยละ 70 ของราคาประเมินที่ดินว่างเปล่าหรือห้องชุด
- ไม่เกินร้อยละ 60 ของราคาประเมินที่ดินที่เป็นที่สวน ที่ไร่ ที่นา

บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) โครงการค้ำประกันสินเชื่อเพื่อผู้ประกอบการ Micro Entrepreneurs ค้ำประกันโดยธนาคารเป็นผู้จ่ายค่าธรรมเนียมค้ำประกันในอัตราร้อยละ 2 ต่อปี ของภาระค้ำประกันให้แก่ผู้กู้ ตั้งแต่ปีที่ 2 เป็นต้นไป ตลอดอายุสัญญา 

  • เงื่อนไขอื่นๆ
 ค่าธรรมเนียมในการให้บริการสินเชื่อคิดในอัตราร้อยละ 1 ของวงเงินสินเชื่อที่ขอกู้ธนาคาร
 *ตั้งแต่วันที่ 8 สิงหาคม - 30 ธันวาคม 2559 



2. สินเชื่อประชาชนสุขใจ 
  • กำหนดวงเงินกู้
ไม่น้อยกว่า 10,000 บาท แต่ไม่เกิน 200,000 บาท ต่อราย

  • คุณสมบัติผู้กู้
- เป็นบุคคลธรรมดา มีอายุ 20 ปีบริบูรณ์
- เป็นผู้ประกอบการรายย่อย เช่น พ่อค้า แม่ค้า หาบเร่ แผงลอย หรือผู้ให้บริการ
- มีสถานที่ประกอบการที่แน่นอน ชัดเจน และมีเอกสารหลักฐานรับรองว่าประกอบธุรกิจจริงจากธนาคารออมสิน

  • อัตราค่าธรรมเนียมค้ำประกัน

 ปีที่ 1 ลูกค้าได้รับยกเว้นค่าธรรมเนียมการค้ำประกัน
 ปีที่ 2 เป็นต้นไปตลอดอายุสัญญากู้เงิน ธนาคารออมสินจ่ายให้กับลูกค้า
  • อัตราดอกเบี้ย
 ตามประกาศธนาคารออมสิน

  • ขั้นตอนการใช้บริการ

- ลูกค้าติดต่อสาขา
- สาขาพิจารณาอนุมัติสินเชื่อ และติดต่อ บสย. อนุมัติค้ำประกัน
- บสย. อนุมัติค้ำประกัน
- สาขาแจ้งลูกค้าทำสัญญา


  • ระยะเวลาการผ่อนชำระ
  ตั้งแต่ 3 ปี แต่ไม่เกิน 10 ปี (ผ่อนชำระเป็นงวดรายเดือน)


  • วัตถุประสงค์การกู้
  เพื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนในการประกอบอาชีพ


  • หลักประกันเงินกู้
  ใช้บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) ค้ำประกัน





ที่มา : http://www.gsb.or.th/products/loan/government
วันที่ : 19 กันยายน 2559

วันจันทร์ที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2559

ทุ่ม2แสนล้าน! แบงก์รัฐอัดฉีดช่วย"คนจน"ให้กู้ดอกเบี้ยต่ำ-พักหนี้ เสนอ"บิ๊กป้อม"เคาะ

     นายสมหมาย ภาษี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และประธานธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เปิดเผยว่า สถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ (แบงก์รัฐ) รวบรวมมาตรการเพื่อเสนอ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในฐานะคณะกรรมการขับเคลื่อนการแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำและความยากจน ของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่นัดประชุมวันที่ 16 กุมภาพันธ์

"แม้เรื่องนี้เป็นการดำเนินการโดย คสช. ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก ถือเป็นการช่วยกันทำงานเพื่อประชาชน โดยในส่วนของ ธ.ก.ส.มี 4 โครงการที่จะมีการพักหนี้ให้ รวมถึงปล่อยสินเชื่อเพิ่มเพื่อนำไปประกอบอาชีพ ส่วนธนาคารออมสิน เตรียมเสนอ 4-5 โครงการ" นาย สมหมายกล่าว

รายงานข่าวจากกระทรวงการคลังแจ้งว่า แบงก์รัฐเตรียมกว่า 20 โครงการวงเงินรวมกว่า 2 แสนล้านบาท ประกอบด้วย ธ.ก.ส.4-5 โครงการวงเงินกว่า 7-8 หมื่นล้านบาท ธนาคารออมสิน 8 โครงการวงเงินกว่า 9 หมื่นล้านบาท ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) 5 โครงการวงเงิน 2.5 หมื่นล้านบาท และธนาคารวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (เอสเอ็มอีแบงก์) 1 โครงการวงเงิน 1 หมื่นล้านบาท

-ธกส.ยืดเวลาเกษตรกรใช้หนี้

   รายข่าวแจ้งว่า ธ.ก.ส. มีมาตรการแก้ไขปัญหาหนี้เกษตรกร สำหรับลูกหนี้เกษตรกรเดิมที่ยังค้างชำระหนี้กับ ธ.ก.ส. จากเหตุผิดปกติ เช่น หัวหน้าครอบครัวเสียชีวิต ขาดรายได้อาจต้องเลิกประกอบอาชีพ และไม่มีที่ดินทำกิน คิดเป็นมูลหนี้ประมาณ 2-3 หมื่นล้านบาท มีลูกหนี้ที่เกี่ยวข้องประมาณ 5 หมื่นราย โดยจะแบ่งเป็น 3 กลุ่ม โดย 2 กลุ่มแรกคือลูกหนี้ที่มีหนี้ค้างนานพอสมควรโอกาสฟื้นยาก และลูกหนี้ค้างชำระแต่ยังมีศักยภาพที่จะชำระหนี้ต่อไปได้ ธ.ก.ส.จะปรับปรุงโครงสร้างหนี้และขยายเวลาผ่อนชำระหนี้ให้ นานขึ้น

   "ส่วนกลุ่มสุดท้าย ลูกหนี้ที่ได้รับผล กระทบจากราคาข้าวและยางตกต่ำ ธ.ก.ส. จะปรับโครงสร้างหนี้ ขยายระยะเวลาชำระเฉพาะเงินต้นออกไป 1 ปี แต่ต้องจ่ายดอกเบี้ยคงเดิม เพื่อเสริมสภาพคล่องให้เกษตรกรนอกจากนี้จะได้รับวงเงินสินเชื่อสนับสนุนเพื่อการฟื้นฟูตามแผนการผลิต ผ่านมาตรการสินเชื่อ ธ.ก.ส. ที่มีอยู่แล้วดอกเบี้ยอัตราพิเศษ วงเงินสินเชื่อเฉลี่ยประมาณ 5 หมื่นบาทถึง 1 แสนบาทต่อราย ทั้งนี้ ธ.ก.ส.เตรียมวงเงินสินเชื่อเพิ่มเติมไว้ไม่เกิน 5 หมื่นล้านบาท" รายงานข่าวระบุ

-ออมสินชง6โครงการ5.5หมื่นล.

   นายชาติชาย พยุหนาวีชัย ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน กล่าวว่า ธนาคารออมสินมี 6 โครงการ วงเงินรวม 5.5 หมื่นล้านบาท ประกอบด้วย 1.โครงการสินเชื่อประชาชนสุขใจ กลุ่มเป้าหมายคือประชาชนทั่วไปและธนาคารประชาชน วงเงินสินเชื่อ 5,000 ล้านบาท ให้สินเชื่อต่อรายตั้งแต่ 1 หมื่นบาทแต่ไม่เกินรายละ 2 แสนบาท ดอกเบี้ย 1% ต่อเดือน ระยะเวลา 10 ปี 2.โครงการสินเชื่อออมสุขใจ วงเงินสินเชื่อ 1 หมื่นล้านบาท ต้องฝากเงิน 3 เดือน 6 เดือนและ 10 เดือน และจะให้สินเชื่อต่อราย 5 เท่าของเงินฝากรายละไม่เกิน 2 แสนบาททันที ไม่ต้องวิเคราะห์สินเชื่อ ดอกเบี้ย 1% ต่อเดือน ระยะเวลา 5-8 ปี กลุ่มเป้าหมายคือประชาชนทั่วไปและมนุษย์เงินเดือนคาดว่าจะปล่อยสินเชื่อได้ 2 แสนราย

   นายชาติชายกล่าวว่า 3.โครงการสินเชื่อส่งเสริมคุณภาพชีวิต วงเงินสินเชื่อ 1 หมื่นล้านบาท กลุ่มเป้าหมายคือพนักงานโรงงาน หน่วยงานภาครัฐและเอกชน วงเงินสินเชื่อต่อรายไม่เกิน 2 แสนบาท ไม่ต้องมีผู้ค้ำประกัน แต่หน่วยงานต้นสังกัดหักบัญชีเงินเดือนนำส่งแบงก์ ดอกเบี้ย 0.75% ต่อเดือน ระยะเวลา 5-8 ปี 4.โครงการสินเชื่อคืนความสุข ภาค 2 วงเงินสินเชื่อ 1 หมื่นล้านบาท สำหรับลูกค้าที่ผ่อนชำระดีในรอบ 12 เดือน ขยายวงเงินสินเชื่อเป็น 1.5 หมื่นบาทถึง 4 หมื่นบาทต่อราย คิดดอกเบี้ย 0.75% ต่อเดือน ระยะเวลา 3-5 ปี คาดว่าจะดูแลกลุ่มลูกค้าธนาคารประชาชนได้ประมาณ 5 แสนราย จากทั้งหมด 1 ล้านราย

-ปล่อยกู้เอสเอ็มอีหมื่นล้าน

   นายชาติชายกล่าวว่า 5.โครงการสนับสนุนธุรกิจเอสเอ็มอี วงเงินสินเชื่อ 1 หมื่นล้านบาท จะร่วมกับพันธมิตร อาทิ ทางจังหวัด หอการค้าแห่งประเทศและสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เพื่อคัดเลือกและจัด 10 อันดับธุรกิจที่ควรให้การสนับสนุนสินเชื่อและดอกเบี้ยพิเศษ โดยกลุ่มธุรกิจอันดับ 1-3 จะได้รับอัตราดอกเบี้ยพิเศษ อันดับ 4-6 จะได้รับอัตราดอกเบี้ยพิเศษรองลงมา ซึ่งส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยระหว่างสองกลุ่มนี้ประมาณ 0.5-1% ส่วนอันดับ 6-10 จะได้รับอัตราดอกเบี้ยปกติ สำหรับกลุ่มเอสเอ็มอี ระดับวงเงินสินเชื่อต่ำกว่า 30-40 ล้านบาท เป็นธุรกิจดาวเด่นของจังหวัด เช่น บริการ ท่องเที่ยวและศิลปหัตถกรรม
นายชาติชายกล่าวว่า 6.โครงการสินเชื่อบ้าน วงเงินสินเชื่อ 1 หมื่นล้านบาท จะประเมินลูกค้าเดิมที่มีความสามารถผ่อนชำระเงินกู้มาแล้ว จะให้วงเงินสินเชื่อเพิ่มเติมเท่ากับวงเงินที่ผ่อน ดอกเบี้ย 6.875% กำลังพิจารณาอยู่ว่ามีลูกค้าเดิมที่จะดูแลได้จำนวนเท่าไร

-อัดฉีดกองทุนหมู่บ้าน4.3หมื่นล.

นายชาติชายกล่าวว่า นอกจากนี้ ธนาคารออมสินเตรียมมาตรการสนับสนุนวงเงินสินเชื่อสำหรับกองทุนหมู่บ้าน วงเงิน 4.3 หมื่นล้านบาท มี 2 โครงการ คือ 1.ยกระดับกองทุนหมู่บ้าน มีวงเงินสินเชื่อ 2 หมื่นล้านบาท เพื่อดูแลกองทุนหมู่บ้านกว่า 3 หมื่นกองทุน สำหรับยกระดับกองทุนหมู่บ้านที่ดี 1 หมื่นกองทุน วงเงินสินเชื่อ 1 หมื่นล้านบาท กองทุนละ 1 ล้านบาท และเพื่อการพัฒนากองทุนหมู่บ้าน 2 หมื่นกองทุน วงเงินสินเชื่อ 1 หมื่นล้านบาท กองทุนละ 5 แสนบาท ส่วนนี้รัฐบาลรับภาระดอกเบี้ย 1.5% และจ่ายชดเชยดอกเบี้ยให้ธนาคารออมสิน 3% ไม่ชดเชยเงินต้น

  นายชาติชายกล่าวว่า 2.สนับสนุนการพัฒนาหมู่บ้านมีวงเงินสินเชื่อ 2.3 หมื่นล้านบาท เช่น การพัฒนาแหล่งน้ำ ซ่อมสร้างทาง หมู่บ้านละ 3 แสนบาท กว่า 7 หมื่นหมู่บ้าน ในส่วนนี้รัฐบาลจะรับภาระจ่ายชดเชยทั้งเงินต้นและดอกเบี้ยให้กับธนาคารออมสิน

-ธอส.ช่วยคนจนมีบ้าน-ดบ.ถูก

ด้านนางอังคณา ปิลันธน์โอวาท ไชยมนัส กรรมการผู้จัดการ ธอส. กล่าวว่า ธอส.เตรียมเสนอ 5 โครงการ วงเงินสินเชื่อ 2.55 หมื่นล้านบาท โครงการใหม่คือ สินเชื่อบ้านผู้มีรายได้น้อย วงเงินสินเชื่อ 5,000 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ยพิเศษต่ำกว่าอัตราปัจจุบันที่ปล่อยกู้ 0.87% แต่ต้องพิจารณาความสามารถชำระหนี้ของผู้กู้ เพื่อให้ผู้มีรายได้น้อยมีบ้านที่มีคุณภาพ โดยเฉพาะในต่างจังหวัดและ หัวเมืองใหญ่

นางอังคณากล่าวว่า ส่วนที่เหลือ 4 โครงการ เป็นโครงการเดิมที่ ธอส.จะทำต่อเนื่อง ได้แก่ 1.สินเชื่อของขวัญปีใหม่ 2558 จะปล่อยวงเงินกู้เพิ่มอีก 3,000 ล้านบาท หลังจากก่อนหน้านี้ตั้งวงเงินไว้ 5,000 ล้านบาท ปล่อยกู้ไปหมดแล้ว 2.ธอส.เพื่อสานฝันคนมีรายได้น้อย ปล่อยกู้ไม่เกิน 1.5 ล้านบาท วงเงิน 8,000 ล้านบาท 3.บ้าน ธอส.เพิ่มสุข เพื่อปรับปรุงบ้านและการซื้ออุปกรณ์ตกแต่งบ้าน วงเงิน 2,500 ล้านบาท และ 4.โครงการบ้านเอื้ออาทร วงเงิน 2,000 ล้านบาท

- เอสเอ็มอีแบงก์ปล่อยกู้โอท็อป

   นายสุพจน์ อาวาส กรรมการผู้จัดการ เอสเอ็มอีแบงก์ กล่าวว่า เอสเอ็มอีแบงก์จะปล่อยกู้ให้กับโอท็อป วิสาหกิจชุมชน หรือ ผู้ประกอบการขนาดเล็กทั่วไป วงเงินรวม 1 หมื่นล้านบาท อัตราดอกเบี้ยไม่เกิน 5% วงเงินไม่เกิน 15 ล้านบาทต่อราย โดยเม็ดเงินที่นำมาใช้ในโครงการนี้ทางกองทุนประกันสังคมนำมาฝากกับธนาคารโดยคิดดอกเบี้ยต่ำ ปล่อยกู้ให้กับลูกค้ารายใหม่ทั่วประเทศ ทำให้มีเม็ดเงินใหม่ลงสู่รากหญ้า

   นายสุธนัย ประเสริฐสรรพ์ รักษาการกรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (ธสน.) กล่าวว่า ธสน.เตรียม 5 โครงการวงเงินเกือบ 1 หมื่นล้านบาท แม้จะไม่ใช่โครงการที่ คสช.สั่งมา แต่เป็นโครงการที่ดำเนินการตามนโยบายรัฐบาล ได้แก่ 1.สินเชื่อเอสเอ็มอี ส่งออกสบายใจ วงเงินสินเชื่อหมุนเวียนระยะสั้น วงเงินสูงถึง 6 เท่าของหลักประกัน 2.สินเชื่อเอสเอ็มอี ค้าชายแดน วงเงินกู้สูงสุด 10 ล้านบาท สำหรับผู้ประกอบการที่ค้าขายกับประเทศเพื่อนบ้าน 3.สินเชื่อเอสเอ็มอี ขยายฐาน วงเงินกู้ระยะยาว วงเงินสูงสุด 30 ล้านบาท กู้ได้ทั้งสกุลเงินบาทและสกุลเงินอื่น ระยะเวลาผ่อนชำระ 7 ปี 4.สินเชื่อเพื่อการลงทุนในเขตเศรษฐกิจพิเศษ เป็นเงินกู้ระยะ 15 ปี และ 5.สินเชื่อเพิ่มพลังผู้ซื้อขาย เป็นแพคเกจทางการเงินที่ให้ผู้ส่งออกไทยนำไปเสนอผู้ซื้อในประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) เพื่อซื้อสินค้าและบริการของผู้ส่งออกไทย

วันที่ : 16 ก.พ. 58


วันเสาร์ที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2559

บทความเรื่อง สินเชื่อภายใต้โครงการสนับสนุนของรัฐบาล สนับสนุนเอสเอ็มอีไทย ให้ก้าวไกลอย่างเข้มแข็ง



     เพราะเอสเอ็มอี คือกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย ธนาคารกรุงเทพจึงร่วมกับหน่วยงานต่างๆ จากภาครัฐ ให้บริการสินเชื่ออัตราดอกเบี้ยต่ำ หรือปลอดดอกเบี้ย เพื่อสนับสนุนการดำเนินงานและการเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันให้แก่เอสเอ็มอีไทยทั่วประเทศ 

สินเชื่อโครงการสนับสนุนการวิจัยพัฒนาและนวัตกรรมเทคโนโลยี 
หากท่านมีโครงการที่จะพัฒนาผลิตภัณฑ์ หรือเทคโนโลยีใหม่ๆ เพื่อให้ผลิตภัณฑ์มีคุณภาพหรือปรับปรุงขบวนการผลิตเดิม ธนาคารกรุงเทพร่วมกับสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) พร้อม
สนับสนุนโครงการของท่านด้วยสินเชื่ออัตราดอกเบี้ยต่ำและวงเงินกู้สูงสุดถึง 30 ล้านบาท แต่ไม่เกินร้อยละ 75 ของมูลค่าลงทุนทั้งโครงการเพื่อช่วยท่านสร้างสรรค์นวัตกรรมต่อไป 

สินเชื่อโครงการรับซื้อตั๋วสัญญาใช้เงินตามระเบียบ ธปท. 
ธนาคารกรุงเทพร่วมกับธนาคารแห่งประเทศไทยพร้อมให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการเอสเอ็มอีทุกประเภทด้วยการเสริมสภาพคล่องให้แก่กิจการ ด้วยสินเชื่ออัตราดอกเบี้ยต่ำเพียง MLR - 2.75% ต่อปี เพื่อใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในรูปตั๋วสัญญาใช้เงินอายุไม่เกิน 5 ปี โดยมีใบสรุปค่าใช้จ่ายแล้วไม่เกิน 4 เดือนมาประกอบ
การขายตั๋ว 

สินเชื่อโครงการ นวัตกรรมดี...ไม่มีดอกเบี้ย 
หากท่านมีนวัตกรรมที่สามารถสร้างความแตกต่าง และมีความสามารถทางการแข่งขันในเชิงธุรกิจ ธนาคารกรุงเทพและสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (สนช.) ยินดีสนับสนุนเงินทุนเพื่อการลงทุนและขยายผลในทางธุรกิจ แม้ว่าท่านจะเป็นผู้ประกอบการใหม่ เราก็พร้อมที่จะสนับสนุนท่านด้วยเงินกู้ในวงเงินสูงสุด 100 ล้านบาท
ปลอดดอกเบี้ยจำนวนไม่เกิน 5 ล้านบาท เป็นเวลา 3 ปี 

สินเชื่อโครงการสนับสนุนการปรับปรุง/ฟื้นฟูสภาพเครื่องจักรแก่เอสเอ็มอี 
ธนาคารกรุงเทพจับมือสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) สนับสนุนลูกค้าเอสเอ็มอีของธนาคารเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ด้วยวงเงินกู้พิเศษเพิ่มเติมจากสินเชื่อเดิม เพื่อใช้ในการปรับปรุง หรือฟื้นฟูสภาพเครื่องจักร โดยท่านจะได้รับส่วนลดอัตราดอกเบี้ย 3% จากอัตราดอกเบี้ยปกตินานถึง 5 ปี



ที่มาของบทความ :  http://www.bangkokbank.com/BangkokBankThai/BusinessBanking/SMEs/LoansForSMEs/GovernmentSupportedLoans/Pages/Default.aspx

แบงก์ออมสินจัดเต็ม 2 ปี ลุยสินเชื่อนโยบายรัฐ 11 โครงการ ปล่อยกู้ไปแล้ว 3 แสนล้าน ให้ลูกค้าฐานราก 6 แสนราย


     ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ธนาคารออมสินดำเนินโครงการสินเชื่อนโยบายรัฐไปแล้วกว่า 11 โครงการ ประชาชนและผู้ประกอบการในระดับฐานรากได้รับการสนับสนุนทางการเงิน 675,365 ราย คิดเป็นวงเงินสินเชื่อรวมทั้งสิ้น 300,313 ล้านบาท โดยเป็นโครงการต่างๆดังนี้

1. โครงการสินเชื่อธนาคารประชาชนรูปแบบใหม่ ปล่อยกู้ให้กับพ่อค้า แม่ค้า และวิสาหกิจขนาดย่อม ใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการประกอบอาชีพ หรือเป็นค่าใช้จ่ายที่จำเป็นต่อการดำรงชีพ รวมทั้งชำระหนี้อื่นๆ วงเงินรวม 31,000 ล้านบาท ณ วันที่ 31 มีนาคม 2559 ได้อนุมัติสินเชื่อให้กับผู้ประกอบการรายย่อย 478,987 ราย วงเงิน 40,910 ล้านบาท

2. มาตรการส่งเสริมความเป็นอยู่ในระดับหมู่บ้าน ปล่อยกู้ให้กับกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง วงเงิน 30,000 ล้านบาท เริ่มดำเนินการเดือนกันยายน 2558 – วันที่ 31 มีนาคม 2559 อนุมัติเงินกู้ให้กองทุนหมู่บ้านฯ แล้ว 25,728 กองทุน วงเงิน 25,570 ล้านบาท

3. โครงการเพิ่มศักยภาพกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง  (สมัยนายสมหมาย ภาษี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง) ปล่อยกู้กองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองวงเงิน 20,000 ล้านบาท เริ่มดำเนินการเดือนมิถุนายน 2558 – เดือนมิถุนายน 2560 ข้อมูลล่าสุด ณ วันที่ 31 มีนาคม 2559 อนุมัติเงินกู้ให้กองทุนหมู่บ้านแล้ว 5,623 กองทุน วงเงิน 9,910 ล้านบาท

4. มาตรการ “แก้ไขปัญหาหนี้ครูและบุคลากรทางการศึกษา” ปล่อยกู้ครู เพื่อนำเงินไปชำระหนี้สหกรณ์ออมทรัพย์ครู สถาบันการเงินอื่น เช่น ธนาคารพาณิชย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.), ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) และธนาคารออมสิน เป็นต้น ณ วันที่ 31 มีนาคม 2559 มีครูมาลงทะเบียน 56,606 ราย ขอวงเงินกู้เพื่อนำไปชำระหนี้สถาบันการเงินทั้งสิ้น 78,447 ล้านบาท อนุมัติเงินกู้แล้ว 29,323 ราย วงเงิน 44,135 ล้านบาท 

5. มาตรการ “บรรเทาความเดือดร้อนให้กับลูกค้าธนาคาร” พักชำระหนี้ 6 เดือนให้กับลูกค้าที่ได้รับผลกระทบจากการเมือง เศรษฐกิจ และภัยธรรมชาติ ณ วันที่ 31 มีนาคม 2559 มีลูกค้ามาลงทะเบียน 95,704 ราย ขอพักชำระหนี้วงเงิน 45,213 ล้านบาท ธนาคารอนุมัติ 47,209 ราย วงเงิน 24,570 ล้านบาท


6. โครงการสินเชื่อดอกเบี้ยตํ่าให้แก่ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี โดยธนาคารออมสินปล่อยกู้ธนาคารพาณิชย์ที่เข้าร่วมโครงการ 0.1% ต่อปี เพื่อให้ธนาคารพาณิชย์นำไปปล่อยกู้ต่อให้กับลูกค้าเอสเอ็มอี คิดดอกเบี้ยไม่เกิน 4% ต่อปี ผ่อนชำระหนี้ไม่เกิน 7 ปี โครงการนี้มี 2 เฟส คือ เฟสที่ 1 วงเงินกู้ 100,000 ล้านบาท เริ่มดำเนินการเดือนกันยายน-เดือนธันวาคม 2558 อนุมัติเงินกู้ 11,861 ราย วงเงิน 98,858 ล้านบาท เฟสที่ 2 วงเงินกู้ 50,000 ล้านบาท เริ่มดำเนินการเดือนมกราคม-เดือนมีนาคม 2559 อนุมัติเงินกู้ 9,483 ราย วงเงิน 49,642 ล้านบาท

7. Venture Capital  “มาตรการสนับสนุนวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม” ตามมติคณะรัฐมนตรีวันที่ 8 กันยายน 2558 ให้ธนาคารออมสิน, ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) และธนาคารกรุงไทย จัดสรรเงินทุนทุนแห่งละ 2,000 ล้านบาท จัดตั้งกองทุนร่วมทุน วงเงิน 6,000 ล้านบาท เพื่อเข้าไปร่วมลงทุนกับเอสเอ็มอีที่มีศักยภาพสูงและมีโอกาสเติบโต ณ วันที่ 31 มีนาคม 2559 ธนาคารออมสินอนุมัติในหลักการเข้าร่วมลงทุนกับเอสเอ็มอีเป้าหมายแล้ว 2 ราย วงเงิน 60 ล้านบาท และอยู่ระหว่างการหารือกับหน่วยงานพันธมิตรเพื่อจัดตั้งกองทุนร่วมลงทุนในเอสเอ็มอีอีก 3 กองทุน

8. โครงการเพิ่มความเข้มแข็งของเศรษฐกิจฐานรากตามแนวทางประชารัฐ ให้สำนักงบประมาณจัดสรรวงเงินงบกลาง 35,000 ล้านบาท สนับสนุนเงินทุนให้แก่กองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง 79,556 กองทุน กองทุนละไม่เกิน 500,000 บาท เพื่อใช้ในการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานในชุมชน และเพื่อดำเนินกิจกรรมอื่นๆ ที่ชุมชนเห็นว่าเป็นประโยชน์ในการส่งเสริมศักยภาพในการประกอบอาชีพและความเป็นอยู่ในชุมชนให้ดีขึ้น โดยธนาคารออมสินได้แต่งตั้งตัวแทนจากสาขาของธนาคารเข้าร่วมใน “คณะทำงานดำเนินงานโครงการเพิ่มความเข้มแข็งของเศรษฐกิจฐานรากตามแนวทางประชารัฐจังหวัด” (คปจ.) เพื่อพิจารณาโครงการทั้ง 76 จังหวัด และแต่งตั้งผู้แทนธนาคารออมสินเข้าร่วมใน “คณะอนุกรรมการดำเนินงานโครงการเพิ่มความเข้มแข็งของเศรษฐกิจฐานรากตามแนวทางประชารัฐ (อคป.) เพื่อพิจารณาอนุมัติโครงการฯ

9. โครงการบูรณาการมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ประสบปัญหาวิกฤติภัยแล้ง ปี 2558/59 ผ่านสินเชื่อธนาคารประชาชน และสินเชื่อธุรกิจห้องแถว ธนาคารออมสินได้อนุมัติสินเชื่อไปแล้ว 65,046 ราย วงเงิน 5,045 ล้านบาท นอกจากนี้ ยังมีลูกค้าของธนาคารที่ประสบปัญหาภัยแล้งมาลงทะเบียนขอพักชำระหนี้ 2,351 ราย วงเงิน 342 ล้านบาท ธนาคารอนุมัติให้พักชำระหนี้ไป 807 ราย วงเงิน 156 ล้านบาท 

10. โครงการ “GSB SMEs Startup” ธนาคารจัดสื่อประชาสัมพันธ์ ชื่อชุด “SMEs Startup Thailand” ผ่านสื่อโทรทัศน์ (TVC), จัดกิจกรรมประกวดแผนธุรกิจมาแล้ว 3 ปี และทำการบ่มเพาะผู้ประกอบการเอสเอ็มอี (Incubator) ปีละ 100 ราย และจัดโครงการประกวด “ออมสิน สุดยอดแนวคิดพลิกธุรกิจไทย” Startup Thailand by GSB

11. โครงการ “บ้านประชารัฐ” ออมสินจัดสรรวงเงินกู้ 20,000 ล้านบาท ปล่อยกู้ให้กับประชาชนทั่วไป สำหรับซื้อบ้านใหม่หรือบ้านที่สร้างเสร็จพร้อมอยู่ และทรัพย์สินรอการขาย (NPAs) ของสถาบันการเงินและบริษัทบริหารสินทรัพย์ฯ หรือบ้านมือสอง ที่เข้าร่วมโครงการบ้านประชารัฐเท่านั้น (ที่ดินพร้อมบ้าน หรือห้องชุด) แต่มีข้อแม้ว่าจะต้องเป็นบ้านหลังแรก หรือจะกู้เพื่อปลูกสร้างบ้าน รายละไม่เกิน 1.5 ล้านบาท รวมทั้งการปล่อยกู้เพื่อต่อเติม/ซ่อมแซมบ้านในที่ดินของตนเองวงเงินกู้ไม่เกิน 500,000 บาท ในอัตราดอกเบี้ยปีแรก 0% มีคนลงทะเบียนขอกู้ 31,352 ราย คิดเป็นวงเงินสินเชื่อ 34,528 ล้านบาท ธนาคารอนุมัติสินเชื่อ 1,296 ราย วงเงิน 1,457 ล้านบาท (คลิกที่ภาพเพื่อขยาย)



นายชาติชาย พยุหนาวีชัย ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน กล่าวถึงการปล่อยสินเชื่อตามนโยบายรัฐว่าไม่มีผลกระทบต่อธนาคาร โดยเฉพาะปัญหาหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ หรือ NPLs ธนาคารสามารถควบคุมให้อยู่ในระดับไม่เกิน 2% ปัจจุบัน NPLs อยู่ที่ 1.61% ของยอดสินเชื่อคงค้าง ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของธนาคารพาณิชย์ทั้งระบบที่ 2.69% 

สำหรับผลประกอบการไตรมาสแรกของปี 2559 ธนาคารออมสินมีสินทรัพย์รวมทั้งสิ้น 2,383,676 ล้านบาท ลดลงจากสิ้นปี 2558 ประมาณ 0.7% เงินฝากมียอดคงค้าง 2,037,617 ล้านบาท ลดลงจากสิ้นปี 2558 ประมาณ 2.2% ยอดสินเชื่อคงเหลืออยู่ที่ 1,902,000 ล้านบาท ลดลงจากสิ้นปี 2558 ประมาณ 17,659 ล้านบาท (1,919,659 ล้านบาท) หรือลดลง 0.9% รายได้จากดอกเบี้ยสุทธิ 14,041 ล้านบาท รายได้จากค่าธรรมเนียม 1,237 ล้านบาท โดยมาจากธุรกิจบัตรและบริการอิเล็กทรอนิกส์ ปัจจุบันธนาคารมีสมาชิกบัตรอิเล็กทรอนิกส์จำนวน 5.3 ล้านบัตร บริการ Mobile Banking ภายใต้แบรนด์ “MyMo” ประมาณ 540,000 ราย Internet Banking ประมาณ 136,000 ราย และผลิตภัณฑ์ใหม่ล่าสุด “บัตรเครดิต ธนาคารออมสิน” ซึ่งเปิดตัวต่อสื่อมวลชนไปเมื่อวันที่ 1 เมษายน 2559 มียอดสมัครเกือบ 11,000 บัตร นอกจากนี้ธนาคารได้มีการนำส่งเงินเข้ากองทุนพัฒนาระบบสถาบันการเงินเฉพาะกิจกว่า 800 ล้านบาท ทำให้ในไตรมาสแรกของปีนี้มีกำไรสุทธิ 1,656 ล้านบาท 

“สาเหตุที่ทำให้ยอดสินเชื่อคงค้างลดลง เนื่องจากเป็นช่วงของการชำระคืนเงินกู้ของลูกหนี้รายใหญ่ ทั้งนี้ ในปี 2559 ธนาคารฯ ตั้งเป้าหมายในการขยายสินเชื่อไว้ที่ 6-8% หากไม่รวมสินเชื่อกลุ่มอาชีพ คาดว่าจะขยายตัว 6.6% เงินฝากขยายตัว 4-6% และคาดว่าปีนี้ธนาคารออมสินจะมีกำไรสุทธิประมาณ 17,800 ล้านบาท โดยธนาคารเดินหน้าตามยุทธศาสตร์สู่ GSB New Era: Digital Transformation Banking “มุ่งพัฒนาสังคมไทยทุกระดับสู่ชีวิตดิจิตอล” พร้อมเดินหน้า 4 ภารกิจหลัก เทิดพระเกียรติสถาบันพระมหากษัตริย์, ช่วยเหลือประชาชนและเศรษฐกิจฐานราก, ส่งเสริมการออม และตอบสนองนโยบายของรัฐบาล” นายชาติชายกล่าว

   นายชาติชายกล่าวต่อว่า เพื่อเป็นการสนับสนุนงานวิเคราะห์และวิจัยเชิงลึกแก่หน่วยงานภายในธนาคารออมสิน และใช้เป็นสัญญาณเตือนสำหรับหน่วยงานภาครัฐ เพื่อให้รับรู้ปัญหาและแนวทางป้องกัน ตลอดจนเป็นแนวคิดในด้านเศรษฐกิจฐานรากของประเทศ ธนาคารออมสินจึงเปิด “ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจ ธุรกิจ และเศรษฐกิจฐานราก ธนาคารออมสิน” โดยศูนย์วิจัยฯ ดังกล่าวจัดตั้งขึ้นมาเพื่อทำหน้าที่สนับสนุนงานวิจัยเชิงลึกด้านเศรษฐกิจ ธุรกิจ และเศรษฐกิจฐานราก ตลอดจนให้บริการข้อมูลข่าวสารและผลการวิเคราะห์วิจัย โดยมีจุดมุ่งหมายที่จะเป็นหน่วยงาน Think Tank ด้านเศรษฐกิจฐานรากของประเทศ เป็นการสนองนโยบายของรัฐที่ให้ธนาคารออมสินเป็นที่พึ่งของประชาชนฐานราก ซึ่งนายธัชพล กาญจนกูล รองผู้อำนวยการธนาคารออมสิน จะเป็นผู้ดูแลงานในส่วนนี้

ทั้งนี้ ในระยะเริ่มต้น ธนาคารออมสินได้ร่วมมือกับศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เพื่อให้เข้ามาช่วยเป็นที่ปรึกษาในการออกแบบและพัฒนาแบบจำลองเศรษฐกิจมหภาครายไตรมาสของธนาคารออมสิน (Government Savings Bank Quarterly Macroeconomic Model: GSB-QMM) เพื่อใช้ติดตามภาวะเศรษฐกิจและธุรกิจ วิเคราะห์ผลกระทบ ตลอดจนพยากรณ์แนวโน้มของเศรษฐกิจและธุรกิจ รวมทั้งใช้ประกอบการจัดทำรายงานต่างๆ เพื่อเผยแพร่ให้กับหน่วยงานภายในธนาคารและประชาชนทั่วไป

ขณะเดียวกันก็ได้ออกแบบและจัดทำดัชนีความเชื่อมั่นเศรษฐกิจฐานราก (Grassroots Economic Sentiment Index: GSI) ขึ้นมา โดยข้อมูลที่ใช้สร้างดัชนีดังกล่าวได้มาจากการสอบถามความคิดเห็นของประชาชนในระดับฐานรากในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับภาวะเศรษฐกิจทั้งในปัจจุบันและอนาคต รายได้ที่จะได้รับในอนาคต การออมทั้งในปัจจุบันและอนาคต การก่อหนี้ทั้งในปัจจุบันและอนาคต และสถานการณ์การจ้างงานและการใช้จ่ายทั้งในปัจจุบันและอนาคต เพื่อให้ธนาคารออมสิน ตลอดจนหน่วยงานอื่นๆ ทั้งภาครัฐและเอกชน ใช้ติดตามภาวะเศรษฐกิจฐานราก และใช้เป็นสัญญาณเตือนภัยล่วงหน้า เพื่อที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะได้รับรู้ปัญหา และสามารถหาแนวทางในการป้องกัน/แก้ไขปัญหาที่จะเกิดขึ้นได้อย่างทันท่วงที

นอกจากนี้ กิจกรรมสำคัญที่ศูนย์วิจัยฯ วางแผนว่าจะดำเนินการอย่างต่อเนื่อง ได้แก่ การประมาณการภาวะเศรษฐกิจมหภาค และจัดทำดัชนีความเชื่อมั่นเศรษฐกิจฐานราก ซึ่งจะเผยแพร่ในรูปแบบของการแถลงข่าว พร้อมกับเอกสารเผยแพร่ผ่านสื่อต่างๆ นอกจากนั้น ยังจะมีการจัดทำรายงานภาวะเศรษฐกิจและธุรกิจ รายงานภาวะเศรษฐกิจฐานราก รวมทั้งบทวิเคราะห์/บทความ/ผลการสำรวจความคิดเห็น (Poll) ในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจฐานราก



ข่าววันที่ : 5 พฤษภาคม 2016
ที่มา : http://thaipublica.org/2016/05/gsb-pracharat-project/

วันเสาร์ที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2559

ออมสินลุยปล่อยสินเชื่อ พ่อค้าแม่ค้า 5 หมื่นบาทต่อราย พักชำระหนี้เงินต้น 3 ปี


     นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล กรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายเศรษฐกิจ) แถลงผลการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า ครม.มีมติเห็นชอบมาตรการให้ความช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยในชุมชนเมืองตามแนวทางประชารัฐ ซึ่งปัจจุบันมีถึง 9 ล้านคน

     ทั้งนี้โครงการนี้มีขึ้นเพื่อเป็นการช่วยให้ประชาชนผู้มีรายได้น้อยสามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนในระบบเพื่อการประกอบอาชีพ และยังช่วยบรรเทาความเดือดร้อนภายในครอบครัว อันเป็นการช่วยลดปัญหาเงินกู้นอกระบบ ซึ่งจะเป็นการยกระดับการดำรงชีพให้มีชีวิตความเป็นอยู่ให้ดีขึ้น รวมถึงเป็นการช่วยให้ผู้ประกอบอาชีพรายย่อยในชุมชนเมืองได้รับความรู้ทางการเงินเพื่อการประกอบอาชีพที่ยังยืนอีกด้วย


สำหรับโครงการนี้จะดำเนินการผ่านธนาคารออมสิน ประกอบด้วยมาตรการจำนวน 3 มาตรการ คือ

มาตรการที่ 1. มาตรการสินเชื่อประชารัฐเพื่อประชาชน

คุณสมบัติผู้กู้ เป็นผู้ประกอบอาชีพอิสระรายย่อยทั่วไป เช่น พ่อค้า แม่ค้า ผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์รับจ้าง ผู้ให้บริการรถรับจ้างสาธารณะ กลุ่มแม่บ้านที่รวมตัวกันเป็นกลุ่มวิสาหกิจชุมชนหรือผู้รับจ้างให้บริการทั่วไป ที่มีอายุครบ 20 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป และเมื่อรวมอายุผู้กู้กับระยะเวลาชำระเงินกู้ต้องไม่เกิน 65 ปี และต้องเป็นผู้มีถิ่นที่อยู่ที่สามารถติดต่อได้แน่นอน

สำหรับวงเงินให้กู้นั้น จะให้กู้ตามความจำเป็นไม่เกินรายละ 5 หมื่นบาท โดยเมื่อรวมจำนวนเงินกู้คงเหลือตามสัญญาเดิมของสินเชื่อโครงการธนาคารประชาชนทุกประเภท กับจำนวนเงินที่ขอกู้ในครั้งนี้ รวมกันแล้วต้องไม่เกิน 2 แสนบาทต่อราย

ผู้กู้มีระยะเวลาชำระคืนเงินกู้ 5 ปี (60 งวด) โดยในปีแรกไม่ต้องจ่ายดอกเบี้ย ส่วนปีที่ 2-5 คิดดอกเบี้ยที่อัตราร้อยละ 1 ต่อเดือน หลักประกันการกู้เงิน ใช้บุคคลค้ำประกัน หลักทรัพย์เป็นหลักประกัน หรือค้ำประกันโดยบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย) ระยะเวลาโครงการสามารถยื่นขอสินเชื่อภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2559

มาตรการที่ 2. มาตรการประชารัฐเพื่อแก้ไขปัญหาหนี้สินประชาชนภายใต้นโยบายรัฐบาล

เป็นมาตรการเฉพาะลูกค้าของธนาคารออมสินเอง ทั้งนี้เพื่อเป็นการบรรเทาความเดือดร้อนจากสภาวะทางเศรษฐกิจและภัยธรรมชาติของลูกค้าธนาคารออมสินที่ใช้บริการสินเชื่อ และอยู่ในระหว่างการผ่อนชำระคืนที่มีความประสงค์ขอพักชำระหนี้ชั่วคราว หรือขอขยายระยะเวลาชำระหนี้เพื่อลดภาระรายจ่าย ตามหลักเกณฑ์ ดังนี้

1. พักชำระเงินต้นและชำระเฉพาะดอกเบี้ยได้นานสูงสุดเป็นระยะเวลา 3 ปี
2.ขยายระยะเวลาชำระหนี้เพิ่มได้เท่ากับระยะเวลาพักชำระเงินต้นหรือขยายเวลาการชำระหนี้ได้ 2 เท่าของระยะเวลาคงเหลือตามสัญญาเงินกู้ โดยมีระยะเวลาที่ขยายการชำระหนี้สูงสุดไม่เกิน 20 ปี ตามเงื่อนไขของสินเชื่อแต่ละประเภท

ลูกค้าที่ต้องการใช้บริการนี้สามารถติดต่อขอเข้าร่วมมาตรการภายในวันที่ 31 สิงหาคม 2559 นี้

โดยทั้ง 2 มาตรการดังกล่าว ธนาคารออมสินไม่ขอรับชดเชยภาระดอกเบี้ยและต้นทุนจากรัฐบาลจึงไม่ส่งผลกระทบต่อภาระงบประมาณของรัฐแต่อย่างใด

มาตาการที่ 3.โครงการอบรมเชิงปฏิบัติการเพื่อพัฒนาอาชีพ

และสร้างความรู้ทางการเงินแก่ผู้ประกอบอาชีพรายย่อยในชุมชนเมือง วัตถุประสงค์ของโครงการนี้ก็เพื่อสร้างความรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับการพัฒนาอาชีพ และการให้ความรู้ทางการเงินให้แก่ประชาชนฐานรากในพื้นที่ชุมชนเมือง โดยกลุ่มเป้าหมายจะเป็นผู้ประกอบการรายย่อย ผู้ประกอบอาชีพอิสระ หรือผู้ที่สนใจเข้ารับการอบรม จำนวน 150,000 ครอบครัว ครอบครัวละ 1 คน กระจายตามพื้นที่ทุกจังหวัด


โดยหลักสูตรการอบรมประกอบด้วย 2 หลักสูตร ได้แก่

1.การให้ความรู้ทางการเงินแก่บุคคลในครอบครัวของประชาชนฐานรากหัวข้อ การบริหารจัดการการเงินสำหรับครอบครัว เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีมีสุข เพื่ออบรมให้เห็นถึงความสำคัญของการออม การบริหารเงิน การบริหารจัดการหนี้ และภัยการเงินที่ควรรู้

2.การพัฒนาและส่งเสริมอาชีพ หัวข้อ เทคนิคการขาย การบริการเพื่อเพิ่มรายได้

โดยโครงการอบรมนี้มีระยะเวลาในการดำเนินการ ตั้งแต่เดือนกรกฎาคม ถึง ธันวาคม 2559 ใช้งบประมาณ 163 ล้านบาท แบ่งเป็นงบประมาณของธนาคารออมสิน 13 ล้านบาท และรัฐบาลสนับสนุนเพิ่มเติมอีก 150 ล้านบาท

   ทั้งนี้ผู้สนใจ สามารถติดต่อสอบถามได้ที่ธนาคารออมสินทุกสาขาใกล้บ้าน



ที่มา : http://thaifastcash.com/
ข่าววันที่ 3 สิงหาคม 2559